เมเนเจอร์ยุคใหม่เปลี่ยนไป เมื่อแนวคิดแบบโลกเก่าอาจไม่พอให้อยู่รอดได้

วันนี้ผมลองเปลี่ยนมาใช้มือถือในการเขียนบทความ เพราะมี mission ที่อยากจะเขียนบทความให้ได้ทุกวัน ผมพบว่ามันเขียนได้ง่ายมากๆ สำหรับ gutenberg ที่ wordpress พยายามดันให้เป็น text editor หลักของระบบ

บทความนี้ผมเกิดไอเดียระหว่างนั่งรถ และฟัง mission to the moon ไปด้วย สาเหตุเริ่มมาจากเริ่มหาคำตอบหลายๆ อย่างให้กับตัวเอง พยายามจะเปลี่ยนนิสัยให้ทันกับโลกยุคใหม่ รวมไปถึงต้องการเพิ่มทักษะของภาวะผู้นำ และเทคนิคทางด้าน user experience ตามไปด้วย ประเด็นแรกเลยคือ ผมเริ่มสังเกตว่าปัจจุบันไม่ค่อยได้ทำงานในเชิงลึก ซึงเป็นรูแบบของตัว l คือลึกอย่างเดียว แต่ต้องปรับตัวมาเป็นแบบตัว T

สำหรับทักษะแบบ T (รู้ลึกในทักษะของตัวเอง และรู้กว้างในภาพรวมของธุรกิจ) ค่อนข้างมาความสำคัญกับเมเนเจอร์ยุคใหม่ จะมาใช้วิธีเปิดตำราแก้ไขแบบยุคเก่าคงไม่ทันการ

ถ้าอยากรู้ว่าเราจะมีงานทำไปตลอดมั้ยให้ดูว่าเราพยายามจะสร้างคุณค่าอะไรอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าจนบริษัทต้องร้องขอให้เราอยู่ต่อ แบบนี้ยังไงก็ไม่ตกงาน

จากพี่ท่านหนึ่งที่ผมนับถือในวงการ SEO

ทีนี้ถ้าจะเปลี่ยนวิธีการเป็นแบบใหม่ก็คงหนีไม่พ้นการใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป แล้วความคิดสร้างสรรค์จะมาได้อย่างไร ความคิดสร้างสรรค์จะไม่เกิดเลยถ้ายังยึดวิธีการแบบเดิมๆ ในสายงานของ UX ไอเดียที่เราคิดได้มักจะเป็นไอเดียที่เก่าไปแล้วเสมอ เหมือนกับเวลาเราถามว่าถ้าอยากจะปรับปรุงให้ดีควรทำอย่างไร ถ้าเมื่อก่อนเราคงจะขุดเอาทฤษฎีมาใช้ แต่ยุคนี้ความเชื่อส่วนตัวผมคือ อาจจะไม่พอ หรือไม่สำเร็จแบบเมื่อก่อนแล้วก็ได้

ผมกับทีมเคยทดลองว่าเราจะสร้างไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างไร คำตอบที่หลายๆ ครั้งค่อนข้างหน้าทึ่ง เพราะ เราเขียนเป็นไอเดียออกมาได้เป็นร้อยไอเดีย

ปัญหาต่อมาคือ ไอเดียจะถูกนำไปใช้ได้มั้ยหลักๆ เรามักจะให้ค่ากับคำที่ได้เงินเดือนสูงสุดในโต๊ะเป็นคนเลือก เมเนเจอร์ก็ต้องเอาใจเจ้านาย บางทีไอเดียนั้นก็อาจจะไม่ใช่ไอเดียที่ดีที่สุด แต่ทำไปเพราะนายชอบ

สิ่งนี้อาจทำให้ไฟในทีมมอดลงได้ เมเนเจอร์ก็ควรปรับตัวและแสดงศักยภาพของทีมออกมาให้มากที่สุด การพลักดันทีมถือเป็นหน้าที่ของเมเนเจอร์ยุคใหม่มากกว่า การคอยตรวจงานให้ตรงตามสิ่งที่ทำตามๆ กันมา

ในบรรดาโค้ชทางด้านการบริหารธุรกิจ มักจะมีคำพูดอยู่ในทำนองว่า ต้องเป็นคนแรกที่ทำ ถ้าไม่ใช่คนแรกก็ต้องแตกต่าง ถึงจะแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถโดน disrupt ได้ตลอดเวลา

มาถึงตรงนี้ เมเนเจอร์อาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในสายงานแล้ว แต่ต้องเป็นคนที่รู้กว่า ปรับตัว ยอมทิ้งเปลือกเมื่อต้องพูดคุยในไอเดียเพื่อให้บริษัทอยู่รอด เพราะถ้ายังยึดกับค่าประสบการณ์เก่าๆ การจะแข่งขันให้รอดคงยาก และร้ายที่สุดอาจถึงขั้นยุบทีม

เมเนเจอร์ควรเป็นเหมือนหินลับมีด ที่พยายามทำให้ทีมคมที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไปด้วยกัน มากกว่าจะเป็น micro manage ลองดูว่าทีมจะอึดอัดแค่ไหนถ้าไม่สามารถมีอิสระในการทำงานได้ การคิดให้ ก็เหมือนจะดี แต่ทีมก็โตช้า ลองเปลี่ยนเป็นมองภาพกว้าง แล้วให้ทีมไปถึงจุดหมายด้วยเค้าเองดีกว่าครับ

Message us